วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

สัญญาณการตั้งครรภ์ 10 ประการ

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตั้งครรภ์ อันนี้ก็แล้วแต่คนค่ะ ผู้หญิงบางคนรู้ตัวว่าตนเองตั้งครรภ์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ แต่ผู้หญิงบางคนกว่าจะแน่ใจก็ต้องรอดูอาการ หรือทดสอบการตั้งครรภ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก สำหรับผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยเจ้าตัวน้อยมาเป็นโซ่ทองคล้องใจของครอบครัว อาจรอถึงเดือนที่ 2 ที่ 3 ไม่ไหว วันนี้เรามีอาการ 10 ข้อ ที่เป็นสัญญาณการตั้งครรภ์มาฝาก

สำหรับผู้ที่ใจร้อน หากคุณรู้สึกไม่แน่ใจว่าตนเองตั้งครรภ์หรือไม่ลองสังเกตตามอาการ 10 ข้อนี้ อาการเหล่านี้เป็นอาการทั่วไปที่บอกเป็นนัยๆ ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์เท่านั้น แต่อย่าลืมนะคะว่าแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเป็นครบทุกอาการที่กล่าวมา แต่บางคนอาจมีเพียงข้อสองข้อเท่านั้น

1. มีเลือดไหลกะปริดกะปรอยออกจากช่องคลอด หรือปวดเกร็งมดลูก 
เมื่อล่วงไปครึ่งหนึ่งของช่วงรอบเดือน คือหลังจากหมดประจำเดือนไปแล้วประมาณ 8-10 วัน และถึงกำหนดมีประจำเดือนครั้งต่อไปไม่นาน คุณอาจจะพบเลือดไหลกะปริดกะปรอยออกมาจากช่องคลอดเป็นจุดสีชมพูจางๆ เนื่องจากในขณะนั้นตัวอ่อนกำลงฝังตัวเข้ากับผนังมดลูก เลือดที่เกิดจากไข่ฝังตัวนี้แตกต่างจากเลือดประจำเดือนตรงที่มีสีอ่อน และมีปริมาณน้อยมากๆ ในขณะที่เลือดประจำเดือนจะมีสีแดงเข้ม มีปริมาณมาก และมีรูปแบบการมาที่แน่นอน คือมาน้อย-มามาก-มาน้อย มดลูกเกร็งตัวก็เป็นอาการอีกอย่างหนึ่งที่พบบ่อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์
คุณแม่จะมีอาการหดเกร็งของมดลูกเหมือนกับเวลามีประจำเดือน จนกว่าถึงเวลาที่ตัวอ่อนจะฝังตัวได้ตำแหน่งที่กระดูกเชิงกรานสามารถรองรับได้ ในช่วง 3-6 เดือนแรก อาการปวดเกร็งมดลูกนี้จะเป็นอยู่ตลอด และจะเป็นมากขึ้นเมื่อออกกำลังกาย, มีเพศสัมพันธ์ หรือเปลี่ยนอิริยาบถในบางครั้ง
2. แพ้ท้อง 
อาการนี้จะเกิดขึ้นในช่วงต้นๆ ของการตั้งครรภ์ คือภายใน 5-10 สัปดาห์หลังการตั้งครรภ์ และจะหายไปเมื่อเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 16 คุณจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และมีน้ำลายมากกว่าปกติ ซึ่งมักเป็นตอนเช้า อาการเวียนศีรษะเกิดจากร่างกายคุณแม่มีปริมาณโลหิตไหลเวียนมากขึ้น มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทำให้หัวใจทำงานหนัก แต่เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง
เนื่องจากเลือดจำนวนมากถูกกักอยู่ในช่องท้องเพื่อใช้เลี้ยงทารกในครรภ์ นอกจากนี้ทารกในครรภ์ยังต้องการธาตุเหล็กมาก บางครั้งก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของคุณแม่ อีกทั้งการตั้งครรภ์ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำลงด้วย จึงก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ส่วนอาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นอาการที่เกิดจากระดับออร์โมนที่สูงขึ้นรวดเร็ว อันส่งผลโดยตรงต่อกระเพาะอาหารค่ะ
3. ฐานเต้านมมีสีเข้มขึ้นกว่าเดิม 
ช่วงต้นๆ ของการตั้งครรภ์ ประมาณช่วงที่คุณคาดว่าจะมีรอบเดือน คุณอาจจะสังเกตเห็นว่าฐานรอบๆ หัวนมจะเริ่มมีสีเข้มและขยายวงกว้างออกมามากขึ้น เชื่อกันว่าสีเข้มนี้จะช่วยให้ทารกเกิดใหม่หาหัวนมดูดได้ง่าย นอกจากนั้น คุณยังอาจสังเกตเห็นว่าเส้นเลือดบริเวณเต้านมกับตุ่มรอบหัวนมเล็กๆ ที่กระจายไปตามฐานนมมีจำนวนและขนาดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม โดยฐานเต้านมข้างหนึ่งจะมีตุ่มเหล่านี้ประมาณ 4-28 ตุ่ม
4. คัดและเจ็บหน้าอก เจ็บหัวนม 
ในช่วง 3 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ (หลังจากหระจำเดือนคลาดไปประมาณ 1 สัปดาห์) คุณอาจจะรู้สึกว่าหน้าอกบวมใหญ่ขึ้น เหมือนที่คุณรู้สึกตอนกำลังจะมีรอบเดือน แต่สำหรับผู้ตั้งครรภ์เต้านมจะคัดตึงมากกว่า เพราะเตรียมสร้างน้ำนมสำหรับเลี้ยงลูก อาการนี้จะหายไปหลังจากตั้งครรภ์ผ่านไป 12 สัปดาห์
5. ปัสสาวะบ่อย 
หลังจากประจำเดือนขาดไป 1-2 สัปดาห์ (หรือในช่วง 3 เดือนแรก) คุณจะพบว่าคุณปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากปริมาณเลือดในร่างกายเพิ่มขึ้น และมดลูกโตขึ้น จึงต้องการเลือดไปเลี้ยงมดลูกมากกว่าปกติ ทำให้ไตกลั่นกรองปัสสาวะเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงปรับตัวให้มีเลือดเพิ่มขึ้น ชีพจรเต้นเร็วขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เลือดผ่านไตมากกว่าเดิม ส่งผลให้ไตกลั่นกรองปัสสาวะออกมากขึ้น อีกเหตุผลหนึ่งคือ ทารกในครรภ์ขยายตัวไปกดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้จุปัสสาวะได้น้อยลง อาการนี้ผ่านไปสักระยะจะเป็นน้อยลงจนจางหายไป เพราะมดลูกอยู่สูงขึ้นไม่มากดทับกระเพาะปัสสาวะ และจะเป็นอีกครั้งเมื่อใกล้คลอด
6. เหนื่อยง่าย 
อาการอ่อนเพลียพบได้ในระยะ 8-10 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ เวลาตั้งครรภ์ร่างกายคุณจะเปลี่ยนแปลงระบบเมตาบอลิซึ่ม เพื่อปรับร่างกายให้เหมาะสมกับการเจริบเติบโตของทารก ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วอาการเหนื่อยง่ายนี้จะหายไปในสัปดาห์ที่ 12
7. ท้องผูก 
คุณอาจจะพบว่าท้องไส้ของคุณผิดปกติในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ความผิดปกตินั้นเกิดจากร่างกายผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีฤทธิ์ลดประสิทธิภาพการหดตัวของลำไส้ลดลงออกมามากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์
8. อุณหภูมิของช่วงล่างของร่างกายสูงขึ้น 
มั่นใจได้เลยว่าคุณเป็นคุณแม่คนใหม่แน่ ถ้าอุณหภูมิของร่างกายช่วงล่างของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าล่วงเวลาที่ประจำเดือนคุณควรจะมาแล้ว การที่อุณหภูมิช่วงล่างของร่างกายสูงขึ้นแสดงว่าไข่กำลังเดินทางไปตามท่อรังไข่ไปฝังตัวที่มดลูก ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ นี่คือช่วงเวลาที่ร่างกายของคุณรับรู้แล้วว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ เวลาที่ไข่เดินทางออกมาเป็นเวลาที่คุณแม่ส่วนใหญ่พบว่าอุณหภูมิของลำตัวช่วงล่างสูงขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งจะห่างจากครั้งแรกประมาณ 7-12 วัน และมีเลือดคั่งอยู่ที่บริเวณช่วงล่างมาก และการไหลเวียนเลือดไม่ดี คุณแม่จะต้องระวังเส้นเลือดโป่งพองซึ่งเมื่อผนวกกับอาการท้องผูกไปด้วยอาจทำให้เป็นริดสีดวงทวารได้
9. ประจำเดือนขาด 
ถ้าร่างกายคุณเป็นปกติดี นี่อาจจะเป็นสัญญาณแรกที่เป็นเกณฑ์บอกคุณได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ ถ้าคุณประจำเดือนขาดและมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ร่วมด้วย คุณก็มั่นใจได้โดยไม่ต้องทดสอบแล้วว่า คุณตั้งครรภ์แน่นอน
10. ผลทดสอบการตั้งครรภ์ที่เป็นบวก 
ถ้าประจำเดือนคุณขาดไปไม่ถึงวันดี แต่คุณอยากรู้แล้วละว่าคุณท้องหรือเปล่า การทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะจะแม่นยำในช่วง 10-14 วันหลังจากปฏิสนธิ ถ้าคุณทนรอจนถึงเวลาที่ประจำเดือนขาดไม่ได้ การทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยเลือดจะมีผลแม่นยำในช่วงวันที่ 8-10 หลังการปฏิสนธิ ให้พึงระลึกไว้ด้วยว่าผลการทดสอบการตั้งครรภ์ไม่ได้แม่นยำ 100% แม้ว่าจะทดสอบจากเลือดก็ตาม ถ้าคุณได้ผลออกมาเป็นลบ แต่ยังรู้สึกว่าตนเองยังตั้งครรภ์อยู่ ให้ลองทดสอบใหม่หลังจากนั้นอีก 1 สัปดาห์

เต้นแอโรบิกในน้ำ ช่วยบรรเทาความเจ็บเวลาคลอด

หมอเมืองกาแฟแนะนำให้ผู้หญิงมีครรภ์ ควรออกกำลังด้วยการเต้นแอโรบิกในน้ำ เพราะจะให้คุณประโยชน์ เหมือนกับยาระงับปวด ช่วยให้คลอดบุตรโดยไม่เจ็บปวด
นักวิจัยโรซา เปไรรา แห่งมหาวิทยาลัยแคมปินาส ที่นครเซาเปาโล ประเทศบราซิล กล่าวว่า ทั้งนี้เป็นผลจากการศึกษากับ ผู้หญิงมีครรภ์ 71 ราย โดยให้ครึ่งหนึ่งเล่นเต้นแอโรบิกในน้ำวันละ 50 นาที อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนที่เหลือนอกนั้น คงปล่อยให้อยู่ตามปกติ
“เราได้พบว่าพอถึงเวลาคลอด ผู้หญิงที่เคยเต้นแอโรบิกในน้ำมาก่อน มีร้องขอยาระงับปวดเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ผิดกับกลุ่มที่อยู่เฉยๆ ต่างพากันอ้อนวอนร้องขอยากันมากถึงร้อยละ 65″
รายงานผลการศึกษาซึ่งเผยแพร่ในวารสารวิชาการ “สุขบัญญัติการเจริญพันธุ์” ได้กล่าวสรุปว่า “เราพบว่า การเต้นแอโรบิกในน้ำขณะตั้งท้อง ไม่เป็นอันตรายกับมารดาและบุตรแต่อย่างใด ที่จริงแล้วการที่คนไข้ต้องการใช้ยาระงับปวดน้อยลง ก็ส่อว่าภาวะทางกายและใจของผู้เป็นมารดาดีขึ้นกว่าเดิมด้วย”
ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทั้งหลาย อย่าลืมนำไปปฏิบัติกัน

เคล็ดลับช่วยแม่ท้องหลับสบาย

ในช่วงที่ตั้งท้อง การนอนหลับพักผ่อนของคุณแม่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะนอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงของคุณแม่แล้วการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอยังทำให้คุณแม่อารมณ์ดี ไม่หงุดหงิดง่าย แต่ด้วยร่างกายที่เปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งท้องนั้น มักทำให้คุณแม่หลายท่านนอนหลับได้ไม่สบายเนื้อตัว และอาจมีอาการของการนอนกรนร่วมด้วย

สาเหตุการนอนกรนและหลับไม่สบาย

ตอนตั้งท้อง ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดท้อง เป็นตะคริวคลื่นไส้อาเจียน ลูกในท้องดิ้น และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นยังทำให้เนื้อเยื่อบริเวณช่องคอส่วนบนขยายออกจนปิดทับที่ช่องทางเดินหายใจ ลมหายใจจึงผ่านเข้าสู่ปอดได้น้อย รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของแม่ท้อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลต่อการนอนของคุณแม่ท้องด้วย
ไตรมาสแรก ในระยะนี้จะมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูง ทำให้คุณแม่ง่วงนอน แต่เนื่องจากจะมีอาการปัสสาวะบ่อย คุณแม่จึงนอนไม่พอ ทำให้เกิดอาการง่วงและหลับในเวลากลางวันบ่อย นอกจากนี้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนยังทำให้กล้ามเนื้อบริเวณช่องปากส่วนบนและหลอดลมบวม เกิดการอุดกั้นที่ระบบทางเดินหายใจมากขึ้น
ไตรมาสที่สอง ระดับฮอร์โมนยังสูงต่อเนื่อง แต่ขึ้นไม่เร็วเท่าไตรมาสแรก ช่วงนี้คุณแม่จึงนอนหลับได้ดีขึ้น
ไตรมาสที่สาม ท้องของคุณแม่เริ่มใหญ่ขึ้นทำให้นอนไม่สะดวก ปัสสาวะบ่อย แน่นท้องและปวดขา ทำให้คุณแม่ตื่นนอนตอนกลางคืนบ่อย
นอกจากนี้การที่แม่ท้องนอกกรนนั้น อาจมีสาเหตุจากโรคภูมิแพ้ ที่ทำให้เกิดการบวมของเนื้อเยื่อจมูกภายในจมูกคุณแม่จึงหายใจลำบาก และถ้าเกิดการอุดกั้นทางเดินทายใจรุนแรง จะทำให้เกิดการนอนกรนร่วมกับภาวการณ์หยุดหายใจรุนแรง จะทำให้เกิดการนอนกรนร่วมกับภาวการณ์หยุดหายใจทำให้แม่ท้องนอนกรนเสียงดังและมีช่วงหยุดหายใจเวลากลางคืนส่วนช่วงกลางวันจะง่วงนอนมาก เป็นผลให้แม่ท้องร่างกายอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่ายกว่าปกติ เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง อีกทั้งยังอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะเกิดภาวะหยุดหายใจในช่วงนอนหลับ
นอนหลับสบายได้อย่างไร?
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น คุณแม่ควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงลูกในท้องและอวัยวะภายในได้มากขึ้น ไม่ควรนอนหงายเป็นระยะเวลานาน
ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
เพื่อป้องกันอาการปวดท้อง ให้คุณแม่ท้องอย่ากินอาหารแต่ละมื้อมากเกินไป ลดอาหารเผ็ด อาหารเปรี้ยว และหากมีอาการแน่นท้องให้นอนโดยหนุนหัวให้สูง
ให้ดื่มน้ำมากๆ ในเวลากลางวัน ส่วนก่อนนอนให้ลดการดื่มน้ำลง
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงระบบไหลเวียนเลือดดีและลดการเป็นตะคริวที่เท้า
แม่ท้องนอนกรนบางรายอาจจะต้องใช้หมอนสำหรับคนท้อง
หากมีอาการของโรคภูมิแพ้ ให้คุณแม่รีบพบแพทย์เพื่อรักษา ป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อภายในจมูกบวม
หากคุณแม่ง่วงในช่วงกลางวัน ก็งีบหลับบ้าง
หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท
ปรึกษาแพทย์หากแม่ท้องยังคงมีอาการนอนกรนอยู่

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

10 บทความสนุกเมื่อหญิงตั้งครรภ์

คุณแม่ รู้ไหมคะว่า ในช่วงตั้งครรภ์นอกเหนือจากบทบาทว่าที่คุณแม่แล้ว ยังเป็นโอกาสดีที่คุณแม่จะได้สวมบทบาทสนุกๆ อีก 10 อย่างเพื่อ        การตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพและมีความสุขค่ะ

   1. นักออกกำลังกาย : สุขภาพที่แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ ซึ่งการออกกำลังกายอย่างปลอดภัยสามารถทำได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 โดยต้องเป็นกีฬา    หรือกิจกรรมที่ไม่ใช้แรงหรือมีการกระแทก เช่น การว่ายน้ำ เดิน เต้นแอโรบิกเบาๆ บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ขี่จักรยาน อยู่กับที่ ควรหาโอกาสออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและไม่อ่อนแรงง่าย
  
   2. นักสำรวจ : หมั่นสำรวจและ   สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย  อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอก อย่างผิวพรรณ เส้นผม  เล็บ เพื่อบำรุงอย่างถูกวิธี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน อาการหรือความผิดปกติต่างๆ การดิ้น ของลูก โรคประจำตัว จดบันทึกการเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้นำไปถามคุณหมอเมื่อนัดตรวจครรภ์    หรือถ้ามีความผิดปกติที่ร้ายแรงจะได้รักษาได้ทันค่ะ

   3. นักโภชนาการ : การพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่ทราบกันดี อยู่แล้ว ซึ่งการกินอาหารครบ 5 หมู่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณแม่และช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์ของร่างกายให้กับลูกในท้อง รวมถึงต้องกินอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ๆ หลีกเลี่ยงอาหารค้างคืนหรืออาหารสำเร็จรูปเพราะคุณค่าทางอาหารจะลดลง หากอยากกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือขนมต่างๆ ก็สามารถกินได้ให้พอหายอยาก ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะจะทำให้อ้วนและยังมีสารต่างๆ จากส่วนผสมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกายค่ะ

   4. นักกิจกรรม : วันว่างอย่าลืม ผ่อนคลายด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้ำต้นไม้อยู่ที่บ้าน ไปเดินผ่อนคลายเปิดหูเปิดตานอกบ้าน ฟังการเสวนาหรือเข้าอบรมเกี่ยวกับการตั้งครรภ์จะช่วยให้ได้รับความรู้และพักผ่อนในวันหยุด

   5. นักเดินทาง : หาโอกาสชวนสามีไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดเพราะหลังจากคลอดลูกแล้วจะต้องเลี้ยงลูกทำให้ อาจไม่มีโอกาสไปเที่ยวได้หลายวัน โดยคุณแม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัยในช่วงไตรมาสที่ 2 เพราะไตรมาสแรก ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เป็นอันตราย ส่วนในไตรมาสสุดท้ายจนถึงใกล้คลอด หน้าท้องที่ใหญ่ขึ้นมากจะทำให้การเดินทางลำบากขึ้นก่อนการเดินทางอย่าลืมไปพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเดินทาง
   6. นักประดิษฐ์ : เพียงแค่หยิบเศษวัสดุเหลือใช้ อย่างผ้า ขวดแก้ว ในบ้านมาประดิษฐ์ ตกแต่ง ทำของใช้ให้กับลูก เพราะของใช้หรือของเล่น บางอย่างสำหรับลูกก็สามารถทำเองได้โดยใช้ฝีมือเย็บปักถักร้อยผสมกับความคิดสร้างสรรค์ ก็เป็นการใช้เวลาว่างและได้ผลงานที่ใช้ได้จริงด้วย

   7. นักถ่ายภาพ : หยิบกล้องถ่ายรูปมาเก็บภาพของคุณแม่ตอนตั้งท้องไว้เป็นที่ระลึก เพราะไม่ใช่ทุกคน   ที่จะมีโอกาสดีๆ เช่นนี้ ถ่ายภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกายไม่ว่าจะเป็นหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกเดือน รูปร่างหรือบุคลิกที่เปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นอีกมุมหนึ่งที่สามารถ เก็บไว้ดูเล่นและอมยิ้มในอนาคตได้ด้วยค่ะ

  8. นักศิลปะ : ถึงแม้จะไม่ใช่นักวาดตัวยง แต่การวาดภาพและสีสันสดใสจะช่วยในการผ่อนคลายจิตใจให้คุณแม่ได้ หยิบพู่กัน สี กระดาษแผ่นใหญ่ หรือสมุดวาดภาพ แล้วใช้ฝีมืออีกนิดหน่อย เปิดเพลงคลอไปด้วย หรือเพิ่มความสนุกด้วยการทำ Body Paint ลงบนหน้าท้องด้วยตัวเองก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยต้องใช้สีที่ไม่ผสม สารเคมีและไม่มีกลิ่นเท่านั้นนะคะ

   9. นักพูดและนักร้อง : ช่วงตั้งท้องคุณแม่ต้องเพิ่มบทบาทการเป็นนักพูดและนักร้องแล้วค่ะ แค่เรื่องง่ายๆ อย่างการพูดคุยและร้องเพลงให้เจ้าตัวเล็กในท้องฟังทุกๆ วัน ไม่จำกัดเวลาและจำนวนครั้ง  ในแต่ละวัน เพื่อให้เจ้าตัวเล็กไม่เหงาและเป็นการกระตุ้นพัฒนาการการฟัง การได้ยินเสียงและภาษาให้ลูกตั้งแต่ก่อนเกิดด้วย อย่าลืมชวนคุณพ่อมาเป็นนักพูดและนักร้องจำเป็นให้เจ้าตัวเล็กด้วยกัน  นะคะ

   10. นักอ่านและนักเขียน : การอ่านจะช่วยให้คุณแม่มีสมาธิและรู้สึกสงบมากขึ้น จะอ่านหนังสือที่เป็นคู่มือการตั้งครรภ์หรือหนังสือประเภทที่ชอบก็มีประโยชน์ทั้งนั้นค่ะ นอกจากนี้ เวลาว่างก็อาจ   เขียนบันทึกถึงลูก ความรู้สึกในแต่ละช่วงรวบรวมไว้ ติดรูป  และตกแต่งเป็นเล่ม ก็เป็นความทรงจำดีๆ ที่สามารถเก็บไว้ให้ ลูกอ่านเมื่อโตขึ้นได้

สร้างสุข 10 กิจกรรม

ในช่วงที่ตั้งท้อง คุณแม่สามารถตั้งท้องอย่างมีความสุขได้ค่ะ เพราะคนท้องไม่ใช่คนป่วย คุณแม่จึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องดูแลตัวเองมากขึ้นเท่านั้นเองค่ะ

ลองมาดูว่า 10 กิจกรรมที่คุณแม่ทําแล้วจะ Happy สุดๆ ในช่วงตั้งท้อง พร้อมๆ กับสุขภาพที่แข็งแรงทั้งแม่และลูกมีอะไรบ้าง
 
1. ไปฝากครรภ์
การฝากครรภ์ ถือเป็นกิจกรรมที่คุณแม่ทุกคนต้องทํา ซึ่งช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ไร้กังวล เพราะคุณหมอจะช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดและ ให้คําแนะนําเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพไปพร้อมๆ กับการดูแลลูกในท้อง และทําให้คุณแม่ Happy สุดๆ เมื่อได้รับรู้ความเป็นไปของลูกน้อยในท้องที่เติบโต ขึ้นทุกวัน
 
2. เลือกซื้อหรือเตรียมของใช้ให้ลูก
การเลือกซื้อหรือเตรียมของใช้ให้ลูก เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่ลูกจะเกิด คุณแม่อาจจะเลือกซื้อผ้าอ้อม เสื้อผ้าเด็ก ขวดนม เตียงนอน หรือของใช้ที่จําเป็นอื่นๆ ไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ฉุกละหุกเมื่อคลอดลูกแล้ว การได้เลือกซื้อของ จัดเตรียมของและตกแต่งห้อง ก็จะทําให้คุณแม่ Happy กับการจินตนาการถึงลูกน้อยในท้องและสนุกกับการเลือกสิ่งของชิ้นเล็กที่ดูน่ารักให้กับลูกน้อยด้วย
Tip : เพื่อเป็นการประหยัด คุณแม่อาจขอของใช้ เช่น เสื้อผ้า เตียงนอน รถเข็นเด็ก ต่อจากเพื่อนหรือญาติที่มีลูกแล้ว หรืออาจใช้ของลูกคนก่อนก็ได้ เพราะเด็กโตเร็ว ถ้าซื้อใหม่ทั้งหมดทําให้สิ้นเปลือง

3. คุยกับลูกในท้อง คุณแม่สามารถคุยกับลูกในท้อง หรือให้ลูกฟังเพลงได้โดยวางหูฟังแบบครอบหูไว้ที่หน้าท้อง ซึ่งเป็นการสานสัมพันธ์ของคุณแม่กับลูกไปในตัว ทั้งนี้ คุณแม่ต้องระวังไม่เปิดเพลงเสียงดังจนเกินไป และอาจร้องเพลงง่ายๆ ให้ลูกฟัง เช่น เพลงกล่อมเด็ก เมื่อลูกได้ฟังแล้ว ลูกอาจจะส่งสัญญาณตอบกลับคุณแม่ด้วยการดิ้นตอบ และเมื่อคลอดออกมาแล้ว ก็จะทําให้ลูกคุ้นเคยกับเสียงของคุณแม่และรู้สึกผูกพันกับคุณแม่
 
4. อ่านหนังสือการอ่านหนังสือจะทําให้คุณแม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่อ่าน ไม่คิดหรือกังวลเรื่องอื่น โดยหนังสือที่คุณแม่ท้องมักจะอ่านคือ หนังสือ    ที่เป็นคู่มือตั้งครรภ์ การอ่านหนังสือประเภทนี้จะช่วยให้คุณแม่รู้วิธีดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดในช่วง ตั้งครรภ์และนําไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม นอกจากหนังสือประเภทนี้แล้ว คุณแม่สามารถเลือกอ่านหนังสือได้อีกหลากหลายประเภท ตามชอบ แต่ไม่ควรเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาหนักๆ ควรเป็นหนังสือที่ อ่านแล้วสบายใจและเบาสมอง ก็จะช่วยให้คุณแม่ Happy ยิ่งขึ้นค่ะ
 
5. ออกกําลังกายเบาๆ
คุณแม่ท้องก็สามารถออกกําลังกายโดยไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง ในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 ซึ่งการ ออกกําลังกายสามารถทําได้ง่ายๆ เช่น การเดินเล่น รอบบ้าน หมุนข้อมือ-ข้อเท้า หมุนคอและไหล่ ว่ายน้ำ เป็นต้น การออกกําลังกายจะช่วยผ่อนคลายความเครียด ร่างกายแข็งแรงและป้องกันความหย่อนยานของ กล้ามเนื้อได้ แต่คุณแม่ไม่ควรออกกําลังกายหนักๆ หรือหักโหมจนเกินไปและคํานึงถึงความปลอดภัยทุกครั้ง เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 คุณแม่ควรพักผ่อนให้มากและ งดออกกําลังกายที่ใช้แรงมาก ควรเดินเล่นรอบบ้าน เป็นการออกกําลังกายแทน
 
6. เสริมสวยอย่างปลอดภัย
คุณแม่ท้องก็สามารถ Happy กับการแต่งหน้าและทําผมในช่วงตั้งท้องได้ สิ่งที่คุณแม่ต้องคํานึงถึงคือ การใช้เครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์บํารุงผิวต่างๆ ควรเลือกใช้ที่สกัดจากธรรมชาติ แทนการใช้ผลิตภัณฑ์จากสารเคมี เพราะ ในเครื่องสําอางค์มักจะมีกรดวิตามิน A เป็นส่วนผสมอยู่มาก ถ้าใช้ติดต่อกัน เป็นเวลานานอาจทําให้เป็นอันตรายต่อลูกในท้องได้ สําหรับการย้อมผม ควรเลือกใช้น้ำยาย้อมผมที่ทําจากสารสกัดธรรมชาติแทน หรือหากผมร่วงจนบางการซอยผมสั้น ก็จะช่วยให้คุณแม่ดูดีขึ้นและไม่ต้องกังวลกับการดูแลรักษา   มากจนเกินไป
 
7. กินตามใจปาก
การกินตามใจปาก ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่จะกินจนอ้วน แต่หากคุณแม่อยากกินอะไรในช่วงท้องก็ให้กินตามที่อยากกินได้ โดยที่คุณแม่จะต้องกินแต่ พอประมาณ เพื่อให้หายอยากเท่านั้น ถ้ากินเพลินหรือกินมากเกินไป ก็ไม่ดีแน่ค่ะ เช่น หากคุณแม่อยากกินน้ำอัดลม หรือบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป แต่มัวกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกหรือเปล่า ซึ่งถือว่าเป็นการระวังไว้ก่อนที่ดี แต่ถ้าคุณแม่ ไม่อาจตัดใจให้หายอยากกินได้ ก็ให้จิบหรือกินเพียงแค่ 2-3 คํา ให้พอหายอยาก ไม่กินบ่อยๆ ทุกมื้อหรือทุกวัน ก็ทําให้คุณแม่ Happy กับการกินได้แล้ว

8. ท่องเที่ยว
คุณแม่สามารถเดินทางท่องเที่ยงอย่าง Happy และปลอดภัยได้ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งท้อง สิ่งที่คุณแม่ต้องนําติดตัวไปทุกครั้งเมื่อเดินทางคือ ใบรับรองแพทย์ ยาประจําตัว บันทึกย่อเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ และรองเท้าที่สวมใส่สบาย ทั้งนี้ คุณแม่จะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมสําหรับการเดินทาง ไม่ไปในที่อันตรายมากจนเกินไป และพักผ่อนให้เพียงพอ ในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว

9. สวดมนต์และทําสมาธิ
การสวดมนต์และทําสมาธิจะช่วยให้ผ่อนคลายความกังวล ในการตั้งท้อง ซึ่งอาจจะฝึกการ กําหนดลมหายใจเข้า-ออกด้วย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการคลอดลูก ทำให้่มีสติและสามารถกําหนด จังหวะในการหายใจในระหว่างคลอดลูกได้

10. อบรมการตั้งครรภ์หรือการเลี้ยงลูก
การเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการตั้งครรภ์จะช่วยให้คุณแม่ได้รับความรู้เพิ่มเติมในการดูแลตัวเอง  ซึ่งงานเหล่านี้มักจัดตามโรงพยาบาลต่างๆ และมี   คุณหมอผู้เชี่ยวชาญให้คําแนะนําในการดูแลครรภ์และการเลี้ยงเด็ก นอกจากนี้ การเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้ จะได้แลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับการตั้งท้องกับคุณแม่ท่านอื่นๆ และมีเพื่อนเพิ่มขึ้นด้วย

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง

ยามตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้รายชื่อสารพัดอาหารบํารุงครรภ์ จากทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้น ‘น้ำมะพร้าว’
เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มสําหรับคนท้องเลยก็ว่าได้ ด้วยสรรพคุณที่ได้ยินกันมาว่า เป็นน้ำที่สะอาด
ดื่มเข้าไปแล้ว จะทําให้เด็กในท้อง ตัวสะอาด คลอดออกมาแล้วลูกจะผิวสะอาด ไม่มีไขมันติดตามตัว
ฉบับนี้เราได้หาคําตอบ มาให้คุณแม่กันค่ะ

ดื่มน้ำมะพร้าว ลูกในท้องตัวสะอาด
จากการสอบถาม นพ.อนันต์ โลหะพัฒนะบํารุง กุมารแพทย์ คุณหมอได้ให้ความเห็นในเรื่องน้ำมะพร้าวว่า
“ในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวก็มี มีทั้งสองอย่าง
ซึ่งเป็นข้อดี เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มน้ำมะพร้าว จะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว
เลยอาจจะดูว่าเด็กออกมาตัวสะอาด คงไม่ใช่ออกมาแล้วเด็กไม่มีไข

จริงๆ แล้วไขตัวเด็กนี้มีประโยชน์มาก เพราะจะทําให้เด็กคลอดง่าย ฉะนั้นคุณแม่ที่ดื่ม
น้ำมะพร้าวบ่อยๆ อาจจะทําให้ไขตัวเด็กมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่สีจะสะอาด
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เด็กต้องมีไขมันห่อหุ้มตัว
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิจากภายนอกด้วย”

ในน้ำมะพร้าวมีอะไรบ้าง
เอ่ยถึงในแง่ธรรมชาติบําบัด น้ำมะพร้าว เป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง
เพราะมีแร่ธาตุสําคัญต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส
และไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แถมน้ำมะพร้าว ยังเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เหมือนใครตรงที่
มะพร้าวมีลําต้นสูง กว่าต้นมะพร้าวน้ำจะออกดอกเป็นผล มีน้ำให้ได้ดื่มกัน
ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ มาแล้ว คนไทยจึงถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มาก

ประโยชน์มากมาย
น้ำมะพร้าว สามารถดื่มเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้นิ่ว บํารุงเส้นเอ็น บํารุงกระดูก
มีฤทธิ์เป็นกลาง สามารถขับพยาธิ ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว
ทําให้ร่างกายสดชื่น (ใครชื่นชอบน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักแก้ว)

อาหารทุกชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น อย่างคนเป็นโรคไต โรคเบาหวานไม่ควรดื่มมาก
และการซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ควรเลือกน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นลูก ไม่ควรซื้อที่บรรจุขวดขาย
ถ้าไม่แน่ใจในความสะอาด และสารฟอกขาวต่างๆ ที่สามารถฉีดใส่เข้าไปได้ (ส่วนมากพบในมะพร้าวเผา)

ความเชื่อยามเมื่อตั้งครรภ์

สังคมไทย มีความเชื่อมากมายกับเรื่องต่างๆ จนบางครั้งเราไม่ได้ค้นหาสาเหตุว่าความเชื่อนี้มาจากไหน มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีเหตุผลอะไร มารองรับความเชื่อนั้น แต่เรานำมาปฏิบัติตามกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต บางความเชื่อไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรง แต่บางความเชื่อขัดแย้งกับความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ จนอาจทำให้เราพลาดสิ่งดีๆ หรือกลายเป็นผลร้ายกับเราก็เป็นได้

          โดยเฉพาะความเชื่อของการตั้งครรภ์ เรามีความเชื่ออยู่หลายอย่าง ฉบับนี้เรามาหาความจริงเกี่ยวกับความเชื่อนั้นๆ ว่าทำไมถึงควรเชื่อ เพราะความเชื่อที่ถูกต้องควรตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้ที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน

          1.    กินยาบำรุงแล้วจะอ้วน

          คุณแม่หลายท่านแล้วว่าเมื่อคลอดลูกแล้ว รูปร่างจะอ้วน ลดไม่ลงทำให้ช่วงตั้งครรภ์ไม่ค่อยกล้ากิน โดยเฉพาะยาบำรุง เพราะกลัวว่ายาเหล่านั้น จะไปทำให้คุณแม่กินเก่งขึ้น

           ความจริง: ยาบำรุงส่วนใหญ่ที่คุณแม่ได้รับจากคุณหมอ มักจะเป็นวิตามิน ธาตุเหล็ก ไม่ใช่ยาที่จะไปทำให้คุณแม่กินเก่ง แต่เป็นยาที่เข้าไปช่วยเสริมส่วนที่ขาด เพราะช่วงที่ตั้งครรภ์ ร่างกายมีการผลิตเลือดเพิ่มขึ้นร่างกายต้องการสารอาหาร และวิตามินเพื่อบำรุงร่างกายทั้งตัวแม่และลูก หนทางที่ถูกต้องในการรักษารูปร่างก็คือ การกินอาหารที่ดี กินให้สมดุล เน้นพวกโปรตีน ผัก ผลไม้ ถ้ากลัวอ้วนก็หลีกเลี่ยงอาหารไขมันเยอะ ๆ ขนมหวานกินแต่พออิ่ม
หลังคลอดให้ลูกกินนมแม่ ออกกำลังกายแต่พอเหมาะ กินอาหารที่มีประโยชน์เหมือนช่วงตั้งครรภ์ รับรองว่ารูปร่างของคุณแม่จะกลับมาเข้าที่เหมือนเดิมค่ะ เพียงแต่ละคนอาจจะใช้เวลาไม่เท่ากันในการลดความอ้วนเท่านั้นเองค่ะ

          2.    กินน้ำมะพร้าวอ่อน ลูกออกมาผิวสวย

          เรื่องน้ำมะพร้าวอ่อน เป็นที่เชื่อกันมามากมาย และไม่ว่าแม่ท้องคนไหนได้ยินว่ากินแล้วลูกผิวสวย ก็ต้องอยากกินเป็นธรรมดา

           ความจริง: น้ำมะพร้าวอ่อนเป็นน้ำผลไม้ที่มีความบริสุทธิ์ และมีแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินบี เหล็ก โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม กรดอะมิโน น้ำตาลกลูโคส (ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว) และยังมีฤทธิ์ช่วยขับสารพิษ ในน้ำมะพร้าวยังมีเอสโตรเจนที่เข้าไปทำให้ผิวพรรณสดใสปรับความสมดุลของร่างกาย ดังนั้น การที่คุณแม่ดื่มน้ำมะพร้าวอาจจะไม่ได้หมายถึงว่าลูกจะต้องออกมาผิวสวย แต่ด้วยคุณสมบัติของน้ำมะพร้าวเป็นดังที่กล่าวมา แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน สำหรับคุณแม่ที่มีภาวะโรคเบาหวาน เพราะในน้ำมะพร้าวมีความหวานจากน้ำตาล ดังนั้น ก็ต้องดื่มด้วยความระมัดระวังเช่นกัน

          3.    ผ่าคลอดดีกว่า

          ข้อนี้เป็นความเชื่อตามยุคสมัย และตามแต่ละบุคคลมากกว่า เพราะถ้าย้อนกลับไปสักประมาณ 30 ปีที่แล้ว ใครที่คลอดลูกด้วยการผ่าตัดคลอดนั้น ค่อนข้างจะอันตราย และนับเป็นเรื่องสมัยใหม่มากๆ แต่ด้วยความเจริญของการแพทย์ และความเข้าใจผิดของคุณแม่ ทำให้สถิติการผ่าตัดคลอดลูกนั้นสูงขึ้นมาก จนกลายเป็นความเชื่อของคุณแม่รุ่นใหม่หลายคนที่คิดว่าผ่าตัดคลอดดีกว่าคลอดตามธรรมชาติ

           ความจริง: การผ่าตัดคลอดจะทำก็ต่อเมื่อคุณแม่มีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถคลอดเองได้ เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อแม่และลูก เช่นลูกอยู่ในท่าขวาง แม่มีโรคแทรกซ้อน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง และในสถานการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ

          ถึงแม้ปัจจุบันการผ่าตัดคลอดจะมีอันตราความเสี่ยงอันตรายต่ำ แต่ผลจากการผ่าตัดคลอดจะทำให้คุณแม่เจ็บแผลนานกว่า และอาจทำให้คุณแม่ท้อต่อการให้นมลูก รวมถึงสุขภาพโดยรวมพื้นตัวช้ากว่าคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติ และค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการคลอดเอง ดังนั้น ถ้าคุณแม่ที่พร้อมไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ก็น่าจะเลือกหนทางที่ธรรมชาติสร้างให้ผู้หญิงเป็นผู้ให้กำเนิดลูกเถอะค่ะ

          4.    อัลตร้าซาวนด์ไม่ดี

          ยังมีคุณแม่หลายท่านไม่แน่ใจว่า การอัลตร้าซาวนด์มีผลกระทบใด ๆ ต่อลูกในท้องหรือไม่ ทั้งระยะสั้นหรือระยะยาว

           ความจริง: การอัลตร้าซาวนด์เป็นการส่งคลื่นเสียงเข้าไปกระทบภายในท้อง และคลื่นเสียงนั้นก็สะท้อนกลับมาสู่การประมวลผลออกมาเป็นภาพ ให้เราเห็นว่าลูกน้อยมีการเจริญเติบโตปกติหรือไม่ สามารถคำนวณอายุลูกได้ค่อนข้างแม่นยำ และจาก 50 ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีรายงานใดๆ ว่าการอัลตร้าซาวนด์จะเป็นอันตรายกับเด็ก

          5.    ถือฤกษ์ยามคลอด

          การดูดวง ถือฤกษ์ยามนับเป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตของคนไทย ที่บางคนก็เชื่อมาก (เกินไป) แม้กระทั่งการคลอดลูก ก็ไปดูเวลาเพื่อหาว่าเวลาใดดีที่สุด เพื่อให้ลูกได้คลอดออกมาเวลานั้น

           ความจริง: ไม่มีใครกำหนดหรือยืนยันได้ว่าเด็กเกิดเวลานี้แล้วจะเป็นเด็กดี หรือเติบโตได้อย่างที่พ่อแม่หวัง แต่ข้อเสียของการถือฤกษ์ยามตอนคลอดนั้นมีมากมาย เช่น ถ้าได้ฤกษ์ช่วงกลางดึก หมอที่คำคลอดก็จำเป็นต้องอยู่ดึก ซึ่งอาจจะไม่สะดวกเป็นการปลูกฝังความเชื่อที่ไม่มีมูลเหตุว่าทำไมต้องเป็นเวลานี้ให้กับตัวเองและลูกน้อยตั้งแต่ยังไม่เกิดกันเลย และสิ่งที่จะทำให้เด็กคนนั้นเป็นคนเช่นไรเมื่อเติบโตขึ้น ย่อมขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงดูเป็นสำคัญว่าได้ให้ความรัก ให้การศึกษา ให้ความคิดกับลูกมากน้อยแค่ไหน

          6.    หน้าหมองลูกออกมาเป็นผู้ชาย หน้าผ่องเป็นผู้หญิง

          ข้อนี้หมายถึงหน้าแม่นะคะ ส่วนใหญ่มักจะบอกว่าขณะกำลังตั้งครรภ์ถ้าคุณแม่ดูสดใส สวยงาม ก็มักจะได้ลูกสาว ผิดกับคุณแม่ที่มีฝ้าขึ้น ผิวพรรณดูไม่สดใส มักจะได้ลูกชาย

           ความจริง: ปกติเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งแต่ละท่านก็จะมีความเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน บางท่านมีฝ้าขึ้น สิวขึ้นจากที่ไม่เคยมีหรือมีรอยสีดำรอบคอ บางท่านก็ไม่มี แต่อาจจะมีอาการอื่นๆ แทน ซึ่งไม่เกี่ยวกับเพศของลูกในท้องแต่อย่างใด การที่คุณแม่จะมีหน้าตาสดใสหรือไม่นั้น บางครั้งอาจจะขึ้นอยู่กับความวิตกกังวล การดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ด้วยค่ะ ถึงแม้ว่าคุณแม่จะตั้งครรภ์ลูกชาย แต่มีความสุข กินอาหารดีๆ รับรองว่าหน้าของคุณแม่ไม่หมองตามความเชื่อหรอกค่ะ

          7.    กินเฉาก๊วยลูกผิวดำ กินน้ำมะพร้าวลูกผิวขาว

          เพราะเฉาก๊วยมีสีดำ น้ำมะพร้าว เนื้อมะพร้าวมีสีขาว จึงคิดกันไปว่ากินเฉาก๊วยแล้วลูกจะดำ

           ความจริง: อาหารก็คืออาหารค่ะ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสีผิวใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสีผิวขึ้นอยู่กับเม็ดสี ที่เป็นไปตามกรรมพันธุ์ ฉะนั้นถ้าคนในครอบครัวผิวสีเข้ม แต่คุณแม่ไม่อยากให้ลูกผิวเข้ม ก็ขยันดื่มน้ำมะพร้าวทุกวัน ถ้าลูกได้รับกรรมพันธุ์ส่วนนั้นมา ก็เลี่ยงไม่พ้นค่ะ

          8.    ห้ามเย็บปักถักร้อย

          การเย็บผ้าระหว่างตั้งครรภ์ จะทำให้ลูกปากแหว่ง เพดานโหว่ ฉะนั้นงานเย็บทั้งหลายให้เก็บไปให้หมด จากความเชื่อนี้ ถ้าคุณแม่เป็นช่างตัดเสื้อผ้า แล้วต้องเลิกทำระหว่างการตั้งครรภ์คงขาดรายได้ไปมากมาย

           ความจริง: ปากแหว่งเพดานโหว่ในเด็กแรกเกิด แม้จะยังไม่มีผลแน่ชัดว่าเกิดจากอะไรแน่นอน แต่ก็มีการศึกษาว่า บางส่วนเกิดจากพันธุกรรม และที่แน่ๆ คือการพัฒนาของตัวอ่อนในช่วง 3 เดือนแรกมีความผิดปกติ และอีกงานวิจัยคือ การที่คุณแม่สูบบุหรี่มีผลทำให้ลูกเพดานโหว่กว่าแม่ที่ไม่สูบถึง 3 เท่า เท่าที่ผ่านมายังไม่มีงานวิจัยใดๆ ที่บอกว่า สาเหตุเกิดจากคุณแม่เย็บผ้าระหว่างตั้งครรภ์ แต่คำเตือนโบราณก็น่าคิดว่า อาจจะให้คุณแม่ระมัดระวังในการทำงานด้านนี้ เพราะต้องนั่งทำงานนาน ก้มๆ เงยๆ ทำให้หน้ามืดเวียนหัวได้ง่าย หรือการเย็บจักร ก็อาจจะไม่เป็นผลดีต่อคุณแม่ที่สุขภาพไม่ดีนักก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณแม่ทำงานด้วยความระมัดระวังรู้จักดูแลตนเอง ก็ไม่น่ามีปัญหาค่ะ

          9.    ท้องแหลม ท้องกลม

          คนไทยมีการทายเพศลูกในท้องได้หลากหลายทั้งสะดือจุ่น สะดือคว่ำ รวมถึงท้องแหลมท้องกลมโดยมีคำกล่าวที่ว่า ท้องแหลมได้ลูกชาย ท้องกลมได้ลูกสาว

          ความจริง: รูปร่างของท้องที่ใหญ่ขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของมดลูก และกล้ามเนื้อหน้าท้องของแต่ละคนเป็นหลัก เพศของลูกไม่ได้มีผลต่อรูปร่างของท้องแม่แต่อย่างใด

          10.    นอนมากจะคลอดยาก

          คำขู่ที่เกี่ยวกับการคลอด มักใช้ได้ผลกับคุณแม่ตั้งครรภ์เสมอ เพราะเราถูกทำให้จำ หรือทำให้รู้สึกว่าการคลอดเป็นเรื่องเจ็บปวดทรมานและอันตราย (ในสมัยก่อน) ดังนั้นคำโบราณที่ไม่อยากให้หญิงตั้งครรภ์ทำอะไร แล้วผลลัพธ์เกี่ยวกับการคลอดมักได้ผลดี (เชื่อสนิทใจ)

           ความจริง: การคลอดเป็นกลไกธรรมชาติ คลอดยากง่ายนั้น ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ ทั้งเรื่องตำแหน่ง และขนาดของทารก สรีระ และความแข็งแรงของแม่ ดังนั้น ถ้าแม่นอนมากเกินไป จนไม่ได้ออกกำลังกาย ก็อาจทำให้อ้วนมาก การคลอดก็ยากตามไปด้วย แต่ถ้าได้ออกกำลังกาย แต่พอดีและเหมาะสม ร่างกายมีกำลังและความอดทนมากขึ้นต่อการคลอดลูกนั่นเอง

          11.    ห้ามไปงานศพ

          มีคำเตือนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ว่า ห้ามไปงานศพ เพราะโบราณเขาถือ บางท่านก็อาจจะเชื่อโดยยังไม่ได้ค้นหาความจริงคำว่า “ถือ” หมายถึงอะไร แต่บางคนก็ได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า เดี๋ยวผีเข้า ก็แล้วแต่ว่าใครได้ยินและเชื่ออย่างไร

           ความจริง: งานศพ เป็นงานเศร้าหมอง ผู้ร่วมงานก็มักจะหดหู่จากการสูญเสียญาติพี่น้อง เพื่อน หรือคนรู้จักมักคุ้น ถ้าคนตั้งครรภ์ไปงานก็อาจจะรู้สึกเศร้าหมอง ร้องไห้ เครียดไปด้วย ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะมีจิตใจที่ผ่องใส ผู้ใหญ่จึงไม่อยากให้คนท้องรู้สึกเครียดหรือเศร้าหมองนั่นเอง

          12.    ห้ามนั่งขวางบันได

          คุณแม่ตั้งครรภ์ห้ามนั่งขวางบันได ไม่อย่างนั้นจะคลอดยาก คุณแม่ท่านใดได้ฟังก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา เพราะการคลอดลูกยาก หมายถึง การเจ็บท้องยาวนาน และอาจเกิดอันตรายขึ้น โดยเฉพาะสมัยก่อนท่ากรแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า

           ความจริง: บ้านไทยในสมัยก่อน มักจะเป็นบ้านชั้นเดียวที่ยกใต้ถุนสูงบันไดขึ้นบ้านค่อนข้างชัน ถ้าไปนั่งขวางบันไดก็อาจพลัดตกลงมาเกิดอันตรายได้โดยง่าย โดยเฉพาะแม้ท้องใหญ่ที่การทรงตัวไม่ค่อยดี ยิ่งไม่ควรนั่ง ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ควรรับฟัง แต่เหตุผลที่นำมากล่าวอ้างว่าจะทำให้คลอดยากนั้น ไม่เป็นความจริงนะคะ

          13.    ห้ามนอนหงายเพราะรกจะติดหลัง

          คุณแม่หลายท่านอาจได้รับคำเตือนมาแล้วว่าไม่ควรนอนหงายในช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในครรภ์แก่ คำเตือนนี้ถูกต้องค่ะแต่ไม่ใช่เหตุผล “รกติดหลัง”

          ความจริง: การนอนหงาย จะทำให้มดลูก (ใหญ่ๆ ของคุณแม่ท้องแก่) ไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อยลงอาจเกิดอันตรายต่อตัวแม่และลูกน้อยได้ ดังนั้น คุณแม่ควรนอนตะแคงน้ำหนักจะได้ไม่กดทับเส้นเลือดดำใหญ่นั่นเอง ส่วนรกนั้นไม่มีทางติดหลังได้เด็ดขาด เพราะรกอยู่ในมดลูก จะมีก็แต่รกเกาะต่ำที่เป็นอันตราย

          14.    คนท้อง ต้องลอดท้องข้าง

          เชื่อกันว่า ถ้าตั้งครรภ์อยู่แล้วได้ลอดท้องช้างจะทำให้คลอดง่าย... เห็นไหมคะ อุบายเรื่องการคลอดมาอีกแล้ว

           ความจริง: การเดินลอดท้องช้างไม่มีผลต่อการคลอดใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างที่ได้อธิบายไว้ในข้อ 10 และ 12 แล้วว่าการคลอดยากง่ายนั้นขึ้นอยู่กับอะไร แต่ที่มีคำกล่าวนี้ อาจจะเป็นเพราะคนไทยเห็นว่า ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่คนไทยนับถือ ถ้าได้ลอดท้องช้า จึงนับว่าเป็นสิริมงคลกับตัวนั่นเอง

          15.    ห้ามเตรียมของใช้เด็กไว้ก่อน

          ความเชื่อนี้ยังถือปฏิบัติกันอยู่มาก เพราะในความเชื่อนี้ให้เหตุผลว่าจะเป็นลางไม่ดี แม้จะเป็นแม่สมัยใหม่แล้วก็ตาม ก็ยังรู้สึกว่าเชื่อไว้ก่อนก็ดี เพราะไม่อยากให้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับลูก

          ความจริง: ถ้าคิดตามหลักเหตุและผล จะเห็นว่าไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันในส่วนของการเตรียมของใช้ กับสุขภาพหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างคลอด แต่ความเชื่อนี้น่าจะมาจากการคลอดสมัยก่อนที่มีความเสี่ยงสูง จึงไม่อยากให้เตรียมของใช้เด็กเอาไว้มากนัก หรือพ่อแม่มักจะเห่อลูกในท้องเตรียมของใช้ไว้มากเกินความจำเป็น บางอย่างเมื่อลูกคลอดแล้ว อาจไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเพื่อความสบายใจ ก็ให้พบกันครึ่งทางโดยการเตรียมของใช้จำเป็นจริงๆ ที่เด็กแรกคลอดต้องใช้ เช่น ผ้าอ้อม เสื้อผ้าเด็กอ่อน (พอประมาณเพราะเด็กโตเร็ว) น้ำยาซักผ้าเด็ก เพื่อนำมาซักทำความสะอาดไว้ก่อน ส่วนของอื่นๆ ค่อยว่ากันหลังลูกคลอดก็น่าจะทัน